[1.ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ]

เน้นความคุ้มครองตลอดชีวิต หรือคุ้มครองสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ไม่มีผลตอบแทน

เหมาะกับใคร : คนที่เน้นความคุ้มครองชีวิตระยะยาว, คนที่อยากส่งต่อมรดกให้ลูกหลาน แบบไม่ต้องเสียภาษี

 [2.ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา]

ให้ความคุ้มครองเฉพาะช่วงเวลา เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี ไม่มีผลตอบแทน

เหมาะกับใคร : คนที่มีภาระทางการเงินในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น กำลังผ่อนบ้าน คาดว่าอีก 5 ปีจะหมด ก็สามารถทำประกันแบบนี้ได้ .

หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเรา อย่างน้อยก็จะมีหลักประกันให้ครอบครัว

 [1.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์]

ได้ทั้งความคุ้มครองชีวิต และได้ออมเงินก้อน โดยมีให้เลือกตั้งแต่ความคุ้มครองระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว มีผลตอบแทน 2 แบบคือ “เงินคืน” การันตีตัวเลขตามสัญญา และแบบ “เงินปันผล” ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทประกัน

เหมาะกับใคร : คนที่มีแผนจะใช้เงินก้อนในอนาคต คนที่อยากออมเงินระยะยาว ความเสี่ยงต่ำ ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน แต่ไม่เน้นความคุ้มครองชีวิตมากนัก

.

 [2.ประกันชีวิตแบบบำนาญ]

ประกันเพื่อการวางแผนเกษียณ คุ้มครองชีวิตสูงสุดจนถึงอายุ 99 ปี พอถึงอายุรับบำนาญจะได้เงินคืนทุกปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 2-4% ต่อปี ไปเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดความคุ้มครอง แต่หากผู้เอาประกันเสียชีวิตก่อนที่จะถึงอายุรับบำนาญ จะได้รับเงินทุนประกันความคุ้มครอง 3-30 เท่าของเบี้ยที่จ่าย

เหมาะกับใคร : คนที่ต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณ โดยการันตี % ผลตอบแทนแน่นอน

 [3.ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked)]

ปกติแล้วเมื่อเราจ่ายเบี้ยประกันชีวิตไป เงินก็จะถูกเก็บไว้ในกรมธรรม์ แต่ประกันแบบ Unit Linked จะนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุน เพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติม ซึ่งเราออกแบบได้เองว่าต้องการความคุ้มครองชีวิต หรือออมเงินสร้างผลตอบแทนมากกว่ากัน ส่วนผลตอบแทนก็ขึ้นอยู่กับแผนการลงทุน เฉลี่ยสูงสุดราว 6-7% ต่อปี

เหมาะกับใคร : คนที่ต้องการความคุ้มครองชีวิต และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนไปพร้อม ๆ กัน

 [1.ประกันสุขภาพแบบชดเชยค่ารักษา]

หากเจ็บป่วยตรงตามเงื่อนไข ก็จะเบิกเคลมค่ารักษาพยาบาลได้ ซึ่งก็มีทั้งแบบแยกค่าใช้จ่าย โดยกำหนดวงเงินและความคุ้มครองแต่ละรายการ นอกนั้นเราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนเกิน

ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือแบบเหมาจ่าย โดยกำหนดวงเงินค่าห้องและค่ารักษารวมสูงสุดต่อปี สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ก็จะจ่ายตามจริง แต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดต่อปี

เหมาะกับใคร : คนที่ต้องการปิดความเสี่ยงด้านการเงิน ต้องการเผื่อวงเงินค่ารักษาเพิ่มเติมจากสวัสดิการเดิมที่มี

 [2.ประกันสุขภาพแบบโรคร้ายแรง]

หากตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคร้ายแรงตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ เช่น โรคมะเร็ง โรคไต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง ฯลฯ จะได้รับเงินก้อนชดเชย แต่จะเป็นคนละส่วนกับประกันสุขภาพแบบชดเชยค่ารักษา

เหมาะกับใคร : คนที่มีความเสี่ยงทางกรรมพันธุ์ เช่น ครอบครัวมีประวัติป่วยด้วยโรคร้ายแรง หรืออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยง เช่น ทำงานกับสารเคมี ฝุ่นควัน (ขึ้นอยู่กับเกณฑ์พิจารณาของบริษัทประกัน)

 [3.ประกันสุขภาพแบบคุ้มครองอุบัติเหตุ]

คุ้มครองความเสี่ยงจากอุบัติเหตุโดยเฉพาะ มีทั้งวงเงินค่ารักษาพยาบาล วงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือสูญเสียอวัยวะ รวมถึงค่าชดเชยรายวันหากต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ฯลฯ

เหมาะกับใคร : คนที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ หรือทำงานที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ เช่น พนักงานส่งอาหาร

 [4.ประกันสุขภาพแบบเว้นค่าเบี้ย]

เราจะได้รับยกเว้นค่าเบี้ย หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในประกัน เช่น เราซื้อประกันชีวิตให้ลูก ถ้าหากว่าเราเสียชีวิตกะทันหัน บริษัทก็จะยกเว้นค่าเบี้ยประกันของลูกให้ แต่ยังได้รับความคุ้มครองเช่นเดิม

เหมาะกับใคร : คนที่ซื้อประกันชีวิตให้ผู้อื่น เช่น ลูก หลาน

ทุกคนคงจะเห็นภาพกันแล้วว่า ประกันแต่ละประเภทมีจุดประสงค์อย่างไร เหมาะกับใครบ้าง ซึ่งเราสามารถเลือกให้ตรงกับความต้องการได้เลย สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าลืม “ปิดความเสี่ยงทางการเงิน” อุดรอยรั่วค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ที่จะทำให้เราเสียเงินก้อนใหญ่โดยไม่คาดฝัน